ไขปริศนา...ทำไม"คนไทย"จนซ้ำซาก??
สัปดาห์นี้มีคำตอบว่า...ทำไมคนไทยถึงยังจนซ้ำซาก แก้เท่าไหร่ก็ไม่หาย โดยเฉพาะนิสัยประเภท “รสนิยมสูง-รายได้ต่ำ” นี่แหล่ะน่าปลงที่สุด ไปติดตามกัน...
พฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561 เวลา 08.00 น.
เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารทหารไทย หรือ TMB เปิดตัวศูนย์วิเคราะห์วิจัย “Customer Insights” พร้อมกับนำเสนอผลการศึกษาน่าสะเทือนใจเป็นการเปิดพฤติกรรมทางการเงินของคนไทย น่าสนใจมากๆ สะท้อนให้เห็นนิสัยคนไทยแบบถึงกึ๋น จึงหยิบบางส่วนมานำเสนอจะได้รู้ว่า...ที่สังคมไทยไปไม่ถึงไหนเพราะอะไร??
ในงานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่าจากการสำรวจคนไทยทั่วประเทศ อายุระหว่าง 18-54 ปี พบว่า 34% คิดว่าหากเลิกทำงานจะมีเงินเหลือใช้ไม่มากกว่า 6 เดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ กองทุนประกันสังคม จะชดเชยการขาดรายได้จากการว่างงาน และที่น่าตกใจมีถึง 21% ที่มีเงินใช้น้อยกว่า 1 เดือน ครั้นมาดูเรื่องวินัยการออมมีเพียง 38% ที่ออมก่อนใช้ และมีถึง 49% ที่เลือกใช้ก่อนออม และอีก 13% มีเงินไม่พอใช้จ่าย หากเจาะลึกไปอีกพบว่า 21% ไม่คิดเรื่องวางแผนการออมเพื่อเกษียณ

การสำรวจยังเห็นพฤติกรรมของคนไทยอีกหลายๆ อย่าง เช่น คนไทยมีพฤติกรรม “ซื้อก่อนเดี๋ยวก็ได้ใช้” 65% เคยซื้อของตอนลดราคามาเก็บทิ้งไว้โดยที่ตอนนี้ยังไม่เคยใช้ อยากจะบอกว่าคนกลุ่มนี้ “ติดกับดักสินค้าลดราคา” คนไทยเป็นกันเยอะ คิดว่าของลดราคาจะต้องราคาถูก จึงชอบซื้อเยอะๆ แล้วไม่ใช้มาทิ้งไว้เฉยๆ กลายเป็นว่าของพวกนี้กลับแพงกว่า เพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์
แต่ที่น่าห่วงที่สุดเมื่อพบว่ามีคนมากถึง 56% เป็นพวกซื้อของตามกระแส แม้จะไม่จำเป็นพวกนี้เป็นพวกกลัวตกเทรนด์ และมีถึง 31% ถึงจะประหยัดแต่หากลดราคาก็จะซื้อ และ 21% ถึงราคาไม่เป็นมิตร แต่ถ้าชอบก็ยอมซื้อ จากพฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนถึงการใช้บัตรเครดิตพบว่า 50% ไม่สามารถจ่ายเงินได้เต็มจำนวน และอีก 44% เคยผ่อนสินค้าแบบยอมเสียดอกเบี้ย

นอกจากนี้ TMB Analytics ให้รายละเอียดข้อมูลพฤติกรรมการใช้จ่ายของคนไทยกว่า 35 ล้านคน พบว่ากลุ่มมีเงินออมเหลือไม่พอใช้จ่ายไปอีก 6 เดือนหรือเรียกว่า “กลุ่มออมไม่พอ” มีสัดส่วนถึง 80% ขณะที่กลุ่มที่มีเงินออมพอสำหรับการใช้จ่ายตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปมีสัดส่วนเพียง 20% เท่านั้น และพบว่า 70% ของผู้ที่มีรายได้สูงหรือมีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อเดือนยังอยู่ในกลุ่มมีเงินออมไม่พอ แต่น้อยกว่ากลุ่มที่รายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือนที่มีสัดส่วน 80% ที่ออมไม่พอ
ยังพบอีกว่า “กลุ่มพนักงานเอกชนและจ้างงานอิสระ” มีสัดส่วนที่ออมไม่พอ 89% และ 78% ตามลำดับ กลุ่มข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจมีสัดส่วนอยู่ที่ 65% เจ้าของกิจการมีสัดส่วนเพียง 62% คนต่างจังหวัดมีสัดส่วนของคนออมไม่พอ 79% น้อยกว่าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีสัดส่วน 80% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูง
สุดท้าย “กลุ่มวัยเริ่มทำงาน” (Gen Y) มีสัดส่วนที่ออมไม่พอ 84% สูงกว่ากลุ่มคนที่มีประสบการณ์ทำงานมากกว่า (Gen X) ที่มีสัดส่วน 80% ซึ่งสะท้อนว่า...ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ยังมีปัญหา “เงินออมไม่พอ” เช่นเดียวกัน เหนือสิ่งใดสะท้อนว่าปัญหาการออมเงินไม่เกี่ยวกับระดับรายได้ รวยหรือจนไม่เกี่ยวพื้นที่ที่ประกอบอาชีพ และประสบการณ์ทำงาน หรืออายุทั้งสิ้น กล่าวคือ...คนไทยส่วนใหญ่ไม่ว่าจะมีลักษณะอย่างไรมักจะออมไม่พอเหมือนกันหมด!!

ในเรื่องการใช้จ่าย คนไทยมีรายจ่ายกันสูงถึง 76.2% ของรายได้ทั้งหมด มีเงินออมแค่ 20.4% เท่านั้น ไม่ว่ากลุ่มที่มีเงินออมพอหรือไม่พอ ต่างมีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นค่อนข้างสูง จากข้อมูลคนไทยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 28,265 บาทต่อเดือน เป็นการใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น สินค้าในชีวิตประจำวัน อาหาร เครื่องดื่ม ของใช้ส่วนตัว ค่าเดินทาง 20,840 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็น 74% ของค่าใช้จ่าย
ขณะที่อีก 7,425 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็น 26% เป็นค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น เช่น รับประทานอาหารนอกบ้าน 6,021 บาท ค่าสุรา 530 บาท ค่าบุหรี่ 235 บาท หวย 433 บาท ที่สำคัญใน “กลุ่มคนที่มีเงินออมไม่พอ” กลับพบว่ามีพฤติกรรมที่บริโภคสุราบุหรี่ และหวยสูงมาก

นอกจากนี้ยังพบว่า...พฤติกรรมการใช้จ่ายของคนไทยเกิดจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงวิถีชีวิตแบบเห่อกินเที่ยว Social มาก่อนเรื่องออมทีหลัง แทบไม่น่าเชื่อว่าคนไทยใช้ Social Media สูงเป็นอันต้นๆ ของโลก มีการค้นหารีวิวที่เที่ยวต่างๆ เช่น เที่ยวญี่ปุ่น เที่ยวทะเลเติบโตเฉลี่ยปีละ 14% ค้นหาคำเกี่ยวกับมิชลินและร้านอาหารเติบโตปีละ 34% ค้นหาคำว่ากิน เที่ยว เติบโตเฉลี่ยปีละ 98% แต่ที่น่าเศร้าคนไทยค้นหาคำว่า “การออมเงิน ลงทุน” ลดลง เฉลี่ยปีละ 0.5% เท่านั้น
กล่าวโดยรวมๆ คนไทยเป็นประเภท “รสนิยมสูง-รายได้ต่ำ” เห็นจากผลการสำรวจแล้วก็ได้แต่ปลงว่า...ตราบใดทีเรายังเป็นพวกบริโภคนิยม มีวิถีชีวิตประเภท “ช้อปง่ายจ่ายแหลกแดกด่วน” ทุกๆ วันทำมาหากิน ไม่ใช่ทำมาหาเก็บ ไม่รู้ว่า...เราจะก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้อย่างไร??
…..............................................
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”
... อ่านต่อที่ : https://www.dailynews.co.th/article/651619
MAGKID SHOP